คาปาซิเตอร์พัดลม หรือ คาปาพัดลม (Fan Capacitor) เป็นส่วนประกอบไฟฟ้าที่มีบทบาทสำคัญในการทำงานของมอเตอร์พัดลม โดยเฉพาะพัดลมไฟฟ้าที่ใช้ในบ้าน คาปาซิเตอร์นี้มีหน้าที่ช่วยให้มอเตอร์พัดลมเริ่มต้นหมุนและทำงานได้อย่างราบรื่น
คาปาพัดลม 1.5µF
- คาปาพัดลม 1.5 µF
- 450V
- ยี่ห้อ MITSUMI
- ราคาตัวละ 25.00 บาท
- ราคาส่งตัวละ 13.50 บาท
- (ราคาส่ง 12 ตัวขึ้นไป)
คาปาพัดลม 1.8µF
- คาปาพัดลม 1.8 µF
- 450V
- ยี่ห้อ MITSUMI
- ราคาตัวละ 25.00 บาท
- ราคาส่งตัวละ 15.00 บาท
- (ราคาส่ง 12 ตัวขึ้นไป)
คาปาพัดลม 2.0µF
- ขนาด 2.0 µF
- 450V
- ยี่ห้อ MITSUMI
- ราคาตัวละ 27.00 บาท
- ราคาส่งตัวละ 18.00 บาท
- (ราคาส่ง 12 ตัวขึ้นไป)
คาปาพัดลม 3.0uF
- ขนาด 3.0 µF
- 400V
- ยี่ห้อ MITSUMI
- ราคาตัวละ 30.00 บาท
- ราคาส่งตัวละ 20.00 บาท
- (ราคาส่ง 12 ตัวขึ้นไป)
คาปาพัดลม 4.0uF
- ขนาด 4.0 µF
- 450V
- ยี่ห้อ SOOER
- ราคาตัวละ 35.00 บาท
- ราคาส่งตัวละ 23.00 บาท
- (ราคาส่ง 12 ตัวขึ้นไป)
หน้าที่ของคาปาซิเตอร์ในพัดลม
1. ช่วยให้มอเตอร์เริ่มหมุน (Starting):
เมื่อเปิดพัดลม คาปาซิเตอร์จะปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อสร้างแรงบิดที่เพียงพอสำหรับการเริ่มต้นหมุนของมอเตอร์
2. ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของมอเตอร์:
ในขณะทำงาน คาปาซิเตอร์จะช่วยปรับเฟสของกระแสไฟฟ้าในขดลวดของมอเตอร์ ทำให้มอเตอร์หมุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ควบคุมความเร็วของพัดลม:
คาปาซิเตอร์มีผลต่อความเร็วในการหมุนของใบพัด หากคาปาซิเตอร์เสื่อมสภาพ ความเร็วพัดลมอาจลดลงหรือหมุนช้ากว่าปกติ
ลักษณะของคาปาซิเตอร์พัดลม
• รูปร่าง:
คาปาซิเตอร์พัดลมมักมีลักษณะเป็นทรงกระบอกหรือทรงแบน มีปลอกพลาสติกหุ้มและสายไฟ 2 เส้นที่ยื่นออกมา
• ค่าความจุ:
มีหน่วยวัดเป็นไมโครฟารัด (µF) โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 1-5 µF ขึ้นอยู่กับรุ่นของพัดลม
• แรงดันไฟฟ้า:
รองรับแรงดันไฟฟ้าสูง เช่น 250V หรือ 400V
อาการเมื่อคาปาซิเตอร์พัดลมเสีย
1. พัดลมไม่หมุน:
พัดลมไม่สามารถเริ่มหมุนได้ แต่ถ้าหมุนใบพัดด้วยมือแล้วสามารถหมุนต่อได้ แสดงว่าคาปาซิเตอร์อาจเสีย
2. พัดลมหมุนช้า:
ความเร็วของพัดลมลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะปรับความเร็วที่ระดับสูงสุด
3. พัดลมมีเสียงฮัม:
เมื่อเปิดใช้งานพัดลม อาจได้ยินเสียงฮัมจากมอเตอร์ แต่ใบพัดไม่หมุน
4. มอเตอร์ร้อนผิดปกติ:
หากคาปาซิเตอร์เสื่อม มอเตอร์จะทำงานหนักขึ้นและเกิดความร้อนสูง
วิธีเปลี่ยนคาปาซิเตอร์พัดลม
1. ปิดไฟและถอดปลั๊กพัดลม:
เพื่อความปลอดภัย ต้องตัดการจ่ายไฟฟ้าก่อนทุกครั้ง
2. ถอดฝาครอบพัดลม:
ใช้ไขควงหรือเครื่องมือที่เหมาะสมในการเปิดฝาครอบเพื่อตรวจสอบคาปาซิเตอร์
3. ระบุค่าความจุของคาปาซิเตอร์:
อ่านค่าความจุ (µF) และแรงดันไฟฟ้า (V) บนตัวคาปาซิเตอร์เดิมเพื่อเลือกซื้ออะไหล่ใหม่ที่ตรงกัน
4. ถอดและเปลี่ยนคาปาซิเตอร์ใหม่:
ตัดสายไฟที่เชื่อมต่อกับคาปาซิเตอร์เก่าออก แล้วเชื่อมสายไฟเข้ากับคาปาซิเตอร์ใหม่
5. ประกอบพัดลมกลับ:
ติดตั้งฝาครอบและตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนเสียบปลั๊ก
วิธีการเลือกคาปาซิเตอร์พัดลม
1. ค่าไมโครฟารัด (µF):
ต้องเลือกค่าความจุที่เหมาะสมกับมอเตอร์ของพัดลม หากใช้ค่าที่ไม่ตรง อาจทำให้มอเตอร์ทำงานผิดปกติ
2. แรงดันไฟฟ้า (Voltage):
เลือกคาปาซิเตอร์ที่รองรับแรงดันไฟฟ้าสูงกว่าหรือเท่ากับที่ระบุบนตัวเดิม
3. วัสดุและคุณภาพ:
เลือกคาปาซิเตอร์ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพดี เช่น แบบเคลือบฟิล์มโพลีเอสเตอร์ (Polyester Film) เพื่อความทนทาน
4. ยี่ห้อที่เชื่อถือได้:
คาปาซิเตอร์จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมักมีอายุการใช้งานยาวนานและเชื่อถือได้มากกว่า
การดูแลรักษาคาปาซิเตอร์พัดลม
1. ทำความสะอาดพัดลม:
หมั่นเช็ดฝุ่นและคราบสกปรกที่อาจสะสมในมอเตอร์หรือขั้วต่อ
2. หลีกเลี่ยงการใช้งานต่อเนื่องนานเกินไป:
ใช้พัดลมในระยะเวลาที่เหมาะสมและหยุดพักเครื่องเพื่อลดความร้อนสะสม
3. ตรวจสอบอาการผิดปกติ:
หากพัดลมมีอาการหมุนช้าหรือเสียงฮัม ควรตรวจสอบคาปาซิเตอร์และมอเตอร์ทันที
สรุป
คาปาซิเตอร์พัดลม เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ช่วยให้พัดลมเริ่มหมุนและทำงานได้อย่างราบรื่น หากคาปาซิเตอร์เสีย พัดลมอาจทำงานผิดปกติหรือหยุดหมุน การเลือกคาปาซิเตอร์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับพัดลม รวมถึงการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี จะช่วยยืดอายุการใช้งานของพัดลมและลดปัญหาการซ่อมแซมในอนาคต